ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกคน ที่อ่านกันมาถึงบทความนี้ เนื่องจากส่วนตัวผมว่ามันค่อนข้างยาวไปนิด กลัวจะเบื่อกัน ถามว่าตัวเองเบื่อมั้ย ก็เบื่อ 555 เพราะโดยมากแล้ว หลักการเบื้อต้นของการสกัดกาแฟ ก็คือการใช้น้ำ ไปละลายสารประกอบทางเคมีของกาแฟออกมา โดยใช้ความร้อนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
เท่านั้นเองครับ แต่ว่าตั้งแต่อดีต จนปัจจุบัน เทคโนโลยี และวิธีคิดของคนก็แตกต่างกันออกไป มีการมองในมุมใหม่ ตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้น ทำแบบนี้ดีกว่ามั้ยนะ พยายามลดรูป พยายามสร้างความแตกต่าง
ทำให้ง่ายขึ้นบ้าง หรือยากขึ้นแต่ดูเท่ขึ้นตามไปด้วยก็ตามที นี่แหละครับนวัตกรรม
โลกมันก็เป็นแบบนี้ มันพัฒนาไปไม่หยุดหย่อน เหมือนวิธีสกัดกาแฟต่อไปนี้ ซึ่งหลักการเหมือนกันเด๊ะ
แต่มีอุปกรณ์สำหรับสกัดกาแฟหลายอย่างมาก มากจนอาจสงสัยว่าเอ๊ะ! มันจะต่างกันยังไงนะ
ท้ายที่สุดแล้ว ขอให้ทุกคนมีโอกาสได้ลองอะไรใหม่ ๆ หาอะไรที่ตัวเองชอบให้เจอ แล้วจะพบว่า ชัวิตที่มีความสุข เรียบง่าย อยู่ไม่ไกลจากตัวคุณเลยครับ
มา เรามาต่อกันที่วิธีสกัดกาแฟแบบที่ 3
Brewing Using Filtration or Dripping
การสกัดกาแฟด้วยวิธีการกรอง หรือการใช้น้ำหยด
น้ำหยดในที่นี้ไม่เหมือนกับแปลงปลูกผักนะครับ 55 หลักการของวิธีนี้ก็ตรงไปตรงมา คือเทน้ำร้อน ลงบนเมล็ดกาแฟบด ที่ใส่ไว้ในกระดาษกรอง แรงโน้มถ่วงของโลก จะช่วยให้น้ำไหลผ่านเมล็ดกาแฟบด และหยดไปยังแก้วด้านล่าง และในที่สุดก็ได้กาแฟที่มีความคลีน (สำหรับศัพท์ในการอธิบายรสต่าง ๆ ของกาแฟ รอติดตามได้ในบทความถัดไปนะครับ) สีใส และมีบอดี้ที่ค่อนข้างเบา
การสกัดกาแฟด้วยวิธีการดริป อุปกรณ์ส่วนมากก็จะมีขนาดเล็ก พกพาง่าย และมีราคาถูก และเป็นวิธีที่เหมาะ
มาก ๆ ในการสกัดกาแฟทีละไม่มาก พอสำหรับคนถึงสองคน
คุณควรรู้จักอุปกรณ์ต่อไปนี้ ที่เรากำลังจะอธิบายถึงข้อดี ข้อเสียให้ฟังกันอย่างละเอียด เช่นเคย
- The Electriv Percolator

เจ้าสิ่งนี้มีชื่อเรียกตามตัวเลย คือหม้อต้มกาแฟ ซึ่งอาจจะขัดใจนักชิมกาแฟสมัยใหม่ นิด ๆ เพราะปัจจุบัน
เรามักสกัดกาแฟเพียงรอบเดียวเท่านั้น แต่เจ้า Percolator ตัวนี้เนี่ย จะทำการสกัดกาแฟซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าเราจะถอดปลั้กมันออก ซึ่งก็จะทำให้น้ำกาแฟที่ได้ออกไปทางเข้ม ซึ่งเป็นการทำให้เกิด Over Extract
กาแฟจึงขมและเข้ม (หวังว่าจะไม่มีใครชอบกาแฟขมใช่มั้ยย)
หลักการของมัน จริง ๆ แล้วก็คล้ายกับหม้อม็อกก้า แต่ต่างกันที่ว่าหม้อม็อกก้านั้น เมื่อน้ำกาแฟขึ้นมาแล้ว ก็จะอยู่ในกาด้านบนเลย ไม่ไหลย้อนลงกลับมาอีก ส่วนหม้อต้มกาแฟตัวนี้จะยอมให้น้ำไหลกลับมาได้อีกครั้ง และก็จะดันน้ำขึ้นไปพรมกาแฟ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันก็มีเทคนิคเล็ก ๆ เผื่อใครจะชอบเจ้านี่ ก็คือการลดไฟลง ขณะที่มันกำลังทำการสกัดกาแฟ จะลดการเกิด over extract ได้ และปรับขนาดบดให้หยาบขึ้น และหาระยะเวลาในการสกัดที่เหมาะสมให้ได้
สำหรับเวลาในการสกัดกาแฟ อาจยาวไปถึง 10 นาที ได้เลย หากคุณเริ่มตั้งแต่เติมน้ำ ใส่กาแฟ และปล่อยให้มันเดือดซ้ำไปเรื่อย ๆ ทางที่ดี เราควรใช้เทคนิคเดียวกับหม้อม็อกก้า โดยการเติมน้ำร้อนลงไปเลย และใช้เวลาแค่ 3-4 นาทีก็เพียงพอ
ระดับการบดที่เหมาะสม เนื่องจากการสกัดจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หากคุณใช้กาแฟบดละเอียดแล้วล่ะก็ ไม่ต้องแปลกใจเลยที่อยู่ดี ๆ จะได้น้ำถ่านมาแทน ดังนั้น บดให้หยาบเข้าไว้ แต่ไม่หยาบขนาดเฟรนช์เพรส
เมื่อทำพิธีรีตองต่าง ๆ เสร็จแล้ว ก็อาจจะเข้าคอนเซ็ปต์ ดีกว่าไม่มีกิน 55 หากคุณเคยไปกินมื้อเช้าตามโรงแรม
กาแฟดำที่โรงแรมเสิร์ฟ ส่วนมากก็จะใช้วิธีนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้น แทบไม่ต่างกันเลยครับ
ส่วนเรื่องทักษะเบื้องต้นนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าบดกาแฟ ตักกาแฟใส่ตัวกรอง และเสียบปลั๊ก (จริง ๆ มีแบบตั้งบนเตาแก๊สด้วยนะครับ) แค่นั้นเลย
ถ้าถามว่าเหมาะกับใครล่ะก็ แน่นอนว่าคนที่ไม่ซีเรียสเรื่องกาแฟมากเท่าไหร่ ต้องการความสะดวกในการใช้
ส่วนไม่เหมาะกับใครนั้น ก็คือคนที่ไม่ชอบสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นแหละครับ
ข้อดี
- ง่าย และรวดเร็ว
- เติมกลิ่นกาแฟให้บ้านของคุณได้
ข้อเสีย
- แทบเรียกได้ว่าเป็นวิธีที่แย่ ๆ ในการทำกาแฟ ทั้งขม ทั้งร้อน
- ต้องทำความสะอาดบ่อย ๆ ทั้งเรื่องรสชาติของกาแฟ และก็ความปลอดภัยต่อสุขภาพ
9.The Chemex

หากใครไม่เคยรู้จักมันมาก่อน ผมว่าต้องมีคนเข้าใจผิด เอาไปจัดดอกไม้บ้างแหละ ดูเผิน ๆ มันก็เหมือนแจกันเหมือนกันนะ แต่แน่นอนว่าทุกอย่างมีเหตุผลของมัน ที่มันหน้าตาแบบนี้ ประโยชน์อย่างแรก
คือมันจุน้ำได้เยอะมาก คุณสามารถทำกาแฟครั้งละ 3-4 แก้ว ได้ในครั้งเดียว
ส่วนวิธีการใช้งานนั้น ก็ไม่ได้ง่ายขนาดใส่กาแฟ เติมน้ำ คุณจำเป็นต้องฝึกใช้มันจนคล่อง ใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างเช่นขนาดบด อุณหภูมิน้ำ และปริมาณกาแฟที่ใช้ และเมื่อคุณลองทำจนหาเจอ
ว่าจะทำยังไง ถึงได้รสชาติที่ต้องการแล้วล่ะก็ เตรียมตัวตกหลุมรักมันได้เลย
Chemex ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบกาแฟมาก มากพอที่เราจะเอามาเปรียบเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด
กับทั้ง French Press, Aeropress, Hario V60, และ Kalita Wave ซึ่งก็จะพยายามไม่ให้มันเยอะเกินไป
เดี๋ยวจะเผลอหลับกันซะก่อน
สำหรับเรื่องเวลาในการสกัดกาแฟ ก็รวดเร็ว เพียง 3 นาทีเท่านั้น ไม่นับรวมตอนต้มน้ำนะครับ
ส่วนเรื่องขนาดบดนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องทดลองเพิ่มหรือลด จนกว่าจะเจอขนาดบดที่พอดี แต่โดยทั่วไปแล้ว
เรามักจะบดให้อยู่ระหว่างหยาบปานกลาง ไปจนถึงละเอียดปานกลาง (ลองไล่ตั้งแต่เฟรนช์เพรสลงมา จนกว่าจะเจอ แต่ไม่หยาบจนถึงขนาดบดที่ใช้กับหม้อม็อกก้า)
ผลลัพธิ์ที่ได้ก็จะได้กาแฟที่มีบอดี้หนา กว่ากาแฟที่สกัดโดยวิธีการใช้กระดาษกรองแบบอื่น ๆ นั่นหมายถึงกาแฟ
จะเข้มขึ้น ให้นึกภาพประมาณเฟรนช์เพรส แต่ไม่มีตะกอนตกอยู่ก้นแก้ว
ส่วนทักษะที่ต้องการ ก็ค่อนข้างสูงขึ้นมาหน่อย เพราะมันมีโอกาสที่จะทำพลาดได้เหมือนกัน
หากคุณหาขนาดบดที่พอดีไม่เจอ ก็อาจทำให้กาแฟ over/under extract ได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้น ก็ต้องฝึกกันบ่อย ๆ หน่อยนะครับ
ถ้าหากว่าคุณเป็นเหมือนผม ที่ชอบขั้นตอนการสกัดกาแฟมากกว่า ชอบท่วงท่าในการรินน้ำร้อนลงบนเมล็ดกาแฟบด วนน้ำรอบ ๆ เพื่อให้การสกัดเสมอกันดี และทำให้กาแฟดูมีคุณค่ามากขึ้น (พูดง่าย ๆ ก็ดูเท่นั่นแหละ) คุณก็น่าจะชอบมันหมือนกันนะ
ส่วนข้อเสียของมันก็มีเช่นกัน เนื่องจากมันทำจากแก้ว อาจจะพกไปไหนมาไหนไม่สะดวกนัก ไม่เหมาะสำหรับนักเดินทางเท่าไหร่ และสำหรับใครที่ไม่ต้องการดื่มกาแฟทีละมาก ๆ 3-4 แก้ว
แต่ก็ยังชอบวิธีการดริป ยังมีดริปเปอร์อีกมากมาย ที่พอสำหรับใช้ทำกาแฟแค่ทีละ 1-2 แก้ว
10.The Hario V60 Dripper

เจ้า Hario V60 ที่ดูเรียบง่าย แต่กลับเต็มไปด้วยข้อดีสำหรับคอกาแฟ เพราะมันทั้งเล็ก น้ำหนักเบา พกพาไปไหนก็สะดวก และได้กาแฟที่ดีมาก ๆ ๆ ๆ ถ้ามันเรียบง่าย กะทัดรัด และใช้งานได้ดี แล้วยังต้องการอะไรไปกว่านี้?
ความเรียบง่ายของมัน ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำได้แค่อะไรง่าย ๆ อย่างที่เห็น ด้วยดีไซน์มาเฉพาะตัว
รูตรงกลางขนาดใหญ่ และลวดลายเป็นเกลียววน ทำให้น้ำไหลผ่านได้อย่างสะดวก ไม่ทำให้กาแฟเกิด
over extract
เทคนิคในการสกัดกาแฟ เมื่อเราวางฟิลเตอร์ลงแล้ว ให้ล้างกระดาษกรองด้วยน้ำร้อนก่อน เพื่อกำจัดกลิ่นกระดาษ จากนั้นใส่ผงกาแฟลงไป และเทน้ำร้อน ลงบนกาแฟ จากนั้นรอ 30 วินาที เพื่อให้กาแฟคลายแก๊สออกมา (เรียกว่าช่วง Bloomming)

จากนั้นจึงค่อย ๆ เทน้ำจนครบปริมาณที่ต้องการ ใช้เวลารวมแล้วประมาณ 2 นาทีครึ่ง ถึง 3 นาที
นั่นหมายความว่า ด้วยวิธีนี้ คุณใช้เวลาน้อยกว่า 5 นาที ในการสกัดกาแฟ ไม่นานเลยเนอะ
ส่วนขนาดบดนั้น ให้บดละเอียดลงมาจากเฟรนช์เพรส และค่อย ๆ ปรับลด จนกว่าจะเจอขนาดบดที่ต้องการ
ก็จะได้กาแฟที่เต็มไปด้วยรสชาติของเมล็ดกาแฟ สดชื่น และไม่วี่แววของความขมเลย
การสกัดกาแฟโดยใช้ Hario V60 นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา ทั้งหมดขึ้นกับเทคนิคการเทน้ำของคุณเอง บางคนอาจเทตลอด หรือเทแล้วพัก แตกต่างกันไป ลองเปรียบเทียบความแตกต่างของรสชาติ ที่ได้จากวิธีการที่แตกต่างกันไปดูนะครับ แล้วจะร้องเห้ยย แค่นี้นะ ก็ทำให้กาแฟต่างกันได้
ข้อดี
- ทำความสะอาดง่าย
- กาแฟไม่ถูกทำให้เสียคุณภาพ จากการแช่ในน้ำร้อนนานเกินไป หรือสกัดซ้ำแบบหม้อต้มกาแฟ
- ราคาถูก หาซื้อได้ง่าย มีทั้งแบบพลาสติด และเซรามิก
ข้อเสีย
- กระดาษกรองค่อนข้างหายาก ต้องซื้อจากร้านที่ขายกาแฟพิเศษ หรือสั่งออนไลน์ เมื่อเทียบกับกระดาษกรองที่ใช้กับ clever dripper หรือ dripper ของไดโซ ที่หาซื้อได้ทั่วไป
- The Kalita Wave Dripper


Kalita ถือว่าเป็นคู่แข่งตัวยงของ V60 เลยก็ว่าได้ เพราะราคาที่ถูกกว่า และการใช้งานก็แทบไม่ต่างจาก V60
ยกเว้นว่าคราวนี้ฐานของมัน ไม่ได้เป็นกรวยตรงกลาง แต่เป็นแบบเรียบแทน
Kalita ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มขากาแฟดริป เพราะความง่ายของมัน และให้รสชาติที่ดี และความสม่ำเสมอของกาแฟที่ได้
เวลาที่ใช้ก็เพียง 3 นาที บวกเวลาช่วง bloomimg นิดหน่อยอีก 30-50 วินาที ซึ่งก็เร็วกว่า V60 อยู่ดี
ขนาดบดที่เหมาะสม คือประมาณเกลือป่นที่เราใช้กันทั่วไป รสชาติที่ได้ก็จะเหมือนกับการชงด้วยวิธี
pour over แบบอื่น ๆ
ในเรื่องทักษะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันเช่นเคย ควบคุมอุณหภูมิน้ำให้เหมาะสม
เทอย่างสม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ที่ชอบกาแฟดริป และชอบความกะทัดรัด เรียบง่าย และความคงที่ของรสชาติกาแฟที่ได้
ข้อดี
- ได้กาแฟที่มีคุณภาพ ทั้งในเรื่องของรสชาติ กลิ่นหอม ๆ และความสม่ำเสมอของรสชาติ
- ทำความสะอาดง่าย
- ราคาถูก ประมาณ 300 บาทเท่านั้น
ข้อเสีย
- Kalita Wave ใช้ฟิลเตอร์ที่หน้าตาค่อนข้างประหลาด และยังไม่เป็นที่นิยมในไทย อาจทำให้ต้องสั่งออนไลน์ข้ามประเทศกันเลยทีเดียว ด้วยความที่หายาก อาจเป็นอุปสรรคเล็ก ๆ ในการทำกาแฟแก้วโปรดในยามเช้า
- The Vietnamese Drip Filter

มากันแถว ๆ บ้านเรากันบ้าง เจ้าสิ่งนี้มีชื่อเรียกว่า ฟิน (Phin) เป็นดริปเปอร์ที่สามารถทำได้ครั้งละ 1 แก้วเท่านั้น และใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที เหมาะมากกับผู้ที่ชอบกาแฟเข้ม ๆ โดยเน้นเรื่องความง่าย และเร็ว แถมยังพกพาไปได้ทุกที่
ต่างจากดริปเปอร์ข้างบนที่เราได้พูดถึง การทำกาแฟด้วย ฟิน ไม่ได้ต้องการเทคนิคแพรวราวอะไรมากมาย
แค่เทน้ำ และก็รอ และถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟเย็น ฟิน เป็นสิ่งที่คุณควรมีติดตัวไว้เลย
เรื่องของขนาดบด กาแฟเวียดนามโดยส่วนมากจะมาในรูปแบบที่บดแล้ว พร้อมสำหรับใช้ได้ทันที แต่ถ้าหากใครต้องการเอากาแฟทั่วไปมาใช้ ขนาดบดก็จะประมาณเฟรนช์เพรส แต่ละเอียดกว่าเล็กน้อย
รสชาติที่ได้จะไม่เหมือนเอสเพรสโซ แต่นุ่มมากกว่า และสะอาดกว่าเฟรนช์เพรส และพอไม่มีกระดาษกรอง ทำให้น้ำมันจากเมล็ดกาแฟ สามารถลอดผ่านมาได้ คุณก็รู้ว่าน้ำมันตัวนี้แหละ ที่เป็นตัวการของความหอม
ในกาแฟ
ฟิน เหมาะกับคนที่ชอบกาแฟเย็นแบบเวียดนาม หรือไม่ชอบที่จะทำกาแฟครั้งละหลาย ๆ แก้ว ช็อตเดียวจบ
หรือใครที่ชอบโอเลี้ยง โอยั้ว ก็น่าจะเหมาะ เพราะอย่างที่เห็นจากรูปด้านบน กาแฟเวียดนามมักจะดริปลงในนมข้นหวานอีกที และคนผสมให้เข้ากัน จากนั้นก็ดื่มได้เลย ไม่ต่างจากโอยั๊วบ้านเรามากเท่าไหร่ (ต่างแค่เมล็ดกาแฟ เพราะกาแฟโบราณของเราเป็นเมล็ดกาแฟที่ผสมอย่างอื่นไปด้วย)
ข้อดี
- ใช้ง่ายยยย
- เหมาะสำหรับหนึ่งที่
- น้ำหนักเบา พกพาง่าย ทดทาน (ถ้าไม่ไปนั่งทับจนมันแบน)
ข้อเสีย
- ทำได้ทีละแก้วเท่านั้น เนื่องจากไม่มีกระดาษกรอง ทำให้มีตะกอนก้นแก้ว โดยเฉพาะถ้าคุณบดละเอียดเกินไป
13.The Melitta Ready Set Joe

Melitta Ready Set Joe คือดริปเปอร์ที่เป็นพลาสติก วิธีการใช้ เหมือนทั่วไปทุกประการ ใช้กระดาษกรองแบบมีขอบ ฐานเรียบ ราคาถูก และพกพาง่าย ไม่แตก
ลักษณะทั่วไป ก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากตัวที่ขายในไดโซ ที่มีราคาเพียง 60 บาท
สามารถทำกาแฟได้ครั้งละ 1 แก้ว ใช้เวลา 4-5 นาที ต่อครั้ง เหมาะกับคนที่เดินทางบ่อย
14.The Bee House Dripper

The Bee House Dripper คือดริปเปอร์ของญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในโลกของกาแฟ
เพราะความง่ายในการสกัดกาแฟอีกเช่นเคย ตัวดริปเปอร์ทำจากเซรามิก และมาพร้อมกันหลากหลายสี
ให้เลือก ใช้เวลาในการสกัดกาแฟไม่นาน อยู่ที่ประมาณ 3 ถึง 3 นาทีครึ่ง
โดยเลือกขนาดบดละเอียดปานกลาง เมื่อสกัดกาแฟเสร็จแล้วนั้น กาแฟที่ได้มีความคลีน
และให้รสชาติที่ชัดเจน และเพราะว่ารู้ที่น้ำไหลผ่านมีขนาดเล็ก จึงทำให้กาแฟแช่ในน้ำนานขึ้น สกัดได้มากขึ้น
ส่วนเรื่องทักษะของผู้ใช้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องการการฝึกฝนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยากเท่าการดริปด้วยวิธีอื่น ๆ
Bee House เหมาะกับคนที่ชอบดริปเปอร์สวย ๆ ไว้ใช้งาน หรือประดับแต่งบ้านก็โอเค วางไว้ตรงไหนก็สวย
ส่วนถ้าใครสายเป็นสายเที่ยว สายตั้งแคมป์ ก็ลำบากหน่อย เพราะมันทำมาจากเซรามิค จึงมีโอกาสที่จะแตกได้สูง
ข้อดี
- ใช้กระดาษกรองแบบมีขอบที่หาซื้อได้ทั่วไป
- ตัวดริปเปอร์ทำจากเซรามิก ทำให้กักเก็บความร้อนระหว่างสกัดกาแฟได้นาน ทำให้อุณหภูมิทคงที่ ไม่สูญเสียให้กับสิ่งแวดล้อม
ข้อเสีย
- เซรามิกสามารถแตกได้ง่าย
15.The Clever Dripper

หลังจากรู้จักดริปเปอร์มาหลายอัน คงนึกสงสัยว่า เอ๊ะ มันต่างกันยังไงนะ ก็แค่เทน้ำเหมือน ๆ กัน
แต่สำหรับ Clever Dripper นั้นมีความแตกต่างอยู่แน่นอนครับ
เพราะความพิเศษของมันนั้น คือการฟิวชั่นกันของดริปเปอร์ทั่วไป กับเฟรนช์เพรสเข้าด้วยกัน
จะเรียกอย่างงั้นก็ไม่ถูกเท่าไหร่ พูดให้ง่าย ๆ คือการรวมทั้งการเทน้ำ และแช่กาแฟในน้ำเข้าด้วยกัน
Clever Dripper จะไม่ยอมให้น้ำไหลผ่านลงแก้ว และจะแช่กาแฟไว้อย่างนั้น จนกว่าเราจะหยิบมันวางลงบนแก้ว หลังจากที่ปล่อยแช่กาแฟ นานเท่าที่เราพอใจ นั่นทำให้เราสามารถควบคุมรสชาติของกาแฟได้มากขึ้น เท่าที่เราต้องการ จะเข้มมาก เข้มน้อย ก็ทำได้
นั่นจึงทำให้เวลาในการสกัดกาแฟขึ้นกับความชอบของคุณเอง แต่ขั้นต่ำก็ต้องมีอย่างน้อย 3-4 นาที
ส่วนขนาดบดก็ไม่ต่างจากการใช้ดริปเปอร์ชนิดอื่น ๆ แต่ยังไงก็ตาม หากเราสามารถคุมเวลาในการแช่กาแฟ
ได้แล้ว ทีนี้ จะบดหยาบ บดละเอียด ก็ไม่ใช่ปัญหา
Clever Dripper เหมาะกับคนที่ชอบการดริปกาแฟ แต่ต้องการลองทำอะไรนอกกรอบ หักมุมหน่อย ๆ
ข้อดี
- ใช้ง่าย ทำความสะอาดง่าย
- พกพาได้สะดวก
- ราคาถูก
ข้อเสีย
- มันอาจไม่ใช่ดริปเปอร์ที่หน้าตาดีสักเท่าไหร่ ดูบอบบางและเหมือนจะแตกง่าย
16.Cold Drip Brewing

หากว่าคุณไม่เคยเห็นเจ้าเครื่องหน้าตาแปลก ๆ นี่เลยล่ะก็ แสดงว่าคุณอาจจะเพิ่งเข้ามาจริงจังกับกาแฟแน่ ๆ
กาแฟสกัดเย็น (Cold Brew) เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบอย่างมาก ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของการการสกัดกาแฟในปัจจุบัน แต่อย่าสับสนกับกาแฟเย็นนะครับ ไม่เหมือนกัน
โดยสรุปแล้ว มันคือการใช้น้ำเย็น ค่อย ๆ หยดลงมาที่กาแฟ ทีละหยด ๆ ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก อาจถึง 10 ชั่วโมง ต่อกาแฟหนึ่งแก้ว แต่ทำไมต้องสกัดเย็นหรอ มันก็กาแฟเหมือนกันมั้ย?
ถ้าคุณมีคำถามแบบนั้น คำตอบคือแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยครับ เพราะกาแฟสกัดเย็นนั้นจะเข้มข้นกว่า
ก็แช่ตั้งสิบกว่าชั่วโมง แต่เปรี้ยวน้อยกว่า นุ่มกว่า แถมไม่ขมอีกด้วย เริ่มน่าสนใจแล้วใช่มั้ยล่ะ
มันอร่อยจนขนาดที่ว่า ไม่ต้องเติมนม หรืออะไรใส่เข้าไปเลย แค่เทลงใส่แก้วน้ำแข็ง และเติมน้ำเย็นเพิ่มนิดหน่อย ก็ได้กาแฟเย็น ๆ สดชื่นแล้ว และพอมันไม่ต้องเติมอะไรเพิ่ม คุณก็จะรับรู้ได้ถึง
รสชาติของเมล็ดกาแฟ จากแหล่งที่มาของมันจริง ๆ ทั้งกลิ่น ทั้งรส คาแรกเตอร์ส่วนตัวที่แตกต่างจากที่อื่น
ข้อดีของมันคือ เราสามารถเก็บกาแฟไว้ได้นานถึง 2 สัปดาห์ โดยที่กาแฟยังสดใหม่เสมอ แค่ทำเก็บไว้ แล้วแช่ตู้เย็น ดังนั้นเราสามารถทำเก็บไว้ได้เรื่อย ๆ เลย ทำทุกวัน วันละครั้ง แค่นี้ก็มีกาแฟกินไปตลอดกาล
เวลาที่ใช้ สามารถปรับได้จากวาล์วเล็ก ๆ ตรงกลาง ตั้งแต่ 10-24 ชั่วโมง อยากให้ช้าหรือเร็วแค่ไหน แล้วแต่ใจเลย ส่วนเรื่องขนาดบด เนื่องจากว่ามันต้องแช่นานมากกก ดังนั้นจึงควรบดให้หยาบ ประมาณเม็ดทรายหนา ๆ รสชาติที่ได้ก็จะเข้ม จนฝรั่งเรียกว่า concentrade ต้องผสมน้ำก่อนดื่ม
แต่ไร้ซึ่งความขม แสดงเอกลักษณ์ของกาแฟชัดเจน และเหนือสิ่งอื่นได้ มันนุ่มม ลื่นคอมาก จนอยากจะทำเก็บไว้กินแทนน้ำ
ขั้นตอนการทำและทักษะก็ไม่ต้องมีอะไรมาก แค่บดหยาบเข้าไว้ และก็รอ ใช้ความอดทนนิดนึง หรือถ้าใครว่าง
ก็นั่งดูมันหยดทีละหยด ผมว่าก็สวยดี
เหมาะสำหรับเมืองร้อนอย่างไทยเรามาก สำหรับใครที่ดื่มกาแฟร้อน ๆ มาตลอด ลองมาดื่มกาแฟสกัดเย็นแล้วคุณจะหลงรักอย่างหัวปักหัวปลำ แถมยังให้คาเฟอีนที่สูง เนื่องจากมันไม่โดนความร้อนทำลายไปซะก่อน ทำให้คุณรู้สึกตื่นตัว และสดชื่นตลอดวัน
ข้อดี
- กาแฟรสชติดี มีเอกลักษณ์ แถมไม่ขม
- ไม่สูญเสียคาเฟอีน
- สามารถทำแล้วเก็บไว้ได้นานถึง 2 สัปดาห์
ข้อเสีย
- นาน กว่าจะได้แต่ละแก้ว ต้องใช้ความอดทนสูงมาก การเห็นกาแฟอยู่ตรงหน้า แต่ยังดื่มไม่ได้ มันทรมานนนน
17.Nitrous Coffee

หลังจากเราทำกาแฟสกัดเย็นไปแล้ว หากใครอยากได้ความแอดวานซ์ขึ้นมาอีกนิด เท่ขึ้นแบบมาก ๆ อีกซักหน่อย Nitro-Coffee ทางเลือกที่เจ๋งไม่เบา หลักการของมันคือ เราจะเอากาแฟสกัดเย็น มาอัดแก๊สไนโตรเจนเข้าไป เพื่อให้แก๊สรวมตัวกับน้ำ คล้าย ๆ กับทำโซดา แต่ว่าผลที่ได้จะต่างกัน
หากเราใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ กาแฟที่ได้จะซ่า และเปรี้ยว แต่กลับกัน เมื่อเราใช้แก๊สไนโตรเจน จะทำให้กาแฟมีความนุ่ม ครีมมี่ และยังมีความสวยงาม จากการที่ฟองกาแฟค่อย ๆ ละลายกลายเป็นน้ำ
ค่อย ๆ ไหลมาเป็นชั้น ๆ อย่างสวยงาม ใครได้ลองตอนนี้ ถือว่าคูลสุด ๆ
แถมผลพลอยได้จากแก๊ส ยังทำให้กาแฟมีรสหวานแทรกเข้ามา และมีโฟมที่ดูแล้วเหมือนเบียร์อีกต่างหาก
สำหรับในไทย ตอนนี้ก็เริ่มมีคนนำเข้ามาให้เราได้ลองแล้วนะครับ อย่างสตาร์บัคส์ก็เริ่มมีแล้ว หรือจะเป็นร้านทั่วไปก็หาได้ไม่ยากนัก
สำหรับเวลาในการทำกาแฟไนโตร อาจจะนานไปนิด เพราะคุณต้องเริ่มตั้งแต่ทำกาแฟสกัดเย็น และไม่ใช่แค่ทำแค่แก้วเดียว แต่ยังต้องทำไว้เยอะมาก ๆ พอทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็แค่อัดแก๊ส และรินเหมือนกับเบียร์ พร้อมดื่มได้ทันที
แต่ว่าเรื่องของทักษะที่ใช้นั้น ค่อนข้างยุ่งยากไปนิด เพราะต้องเริ่มตั้งแต่การเซ็ตระบบจ่ายกาแฟต่าง ๆ
ไม่ต่างกัับทำบาร์เบียร์เลย ซึ่งจะดูยุ่งยากมาก ทั้งเรื่องการเก็บรักษา การอัดแก๊ส ซึ่งค่อนข้างใช้เทคนิค
ไปจนกระทั่งรินให้เพอร์เฟค เหมาะกับคนที่ชอบกาแฟสกัดเย็นมาก ๆ และต้องการความนุ่มของกาแฟ
และโฟมสวย ๆ ตอนดื่ม หากจะทำไว้สำหรับงานปาร์ตี้ ก็เป็นทางเลือกที่ดี
ข้อดี
- ได้คาเฟอีนเต็ม ๆ ทั้งจากการที่ไม่ผ่านความร้อน และยังมีแก๊สมาช่วยดูดซับคาเฟอีนไว้
- กาแฟมีความนุ่ม เบา และสดชื่น อันนี้คอนเฟิร์ม อยากดื่มมันทั้งวัน
- ไม่ต้องเติมนมหรือน้ำตาลให้เมื่อย ไม่ต้องมาเช็กเบาหวานเพราะน้ำตาลในกระแสเลือด กาแฟไนโตรจึงดีต่อสุขภาพมากกว่า
ข้อเสีย
- ความยุ่งยากของมันทำให้อาจจะไม่เหมาะสำหรับมือใหม่นัก อีกทั้งยังต้องลงทุนอุปกรณ์ต่าง ๆ สูงมาก
ทั้งเงิน และเวลาในการทำออกมาให้อร่อย ถ้าจะเริ่มต้นจากตรงนี้ คิดอีกทีนะครับ
จบกันไปแล้วกับวิธีการสกัดกาแฟโดยการกรอง ซึ่งมีหลากหลายแบบ หลากหลายวิธีมาก เรียกว่าเป็นบทความที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา แต่ยัง ยังไม่หมดเท่านั้น เรายังเหลืออีก 2 วิธีสุดท้าย ซึ่งจะมาในบทความหน้า คาดว่าคงไม่ยาวเท่าไหร่ สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นดื่มกาแฟแบบจริงจัง
แนะนำว่าควรเริ่มจากอะไรที่หาซื้อได้ง่าย และราคาไม่แพง และสามารถปรับตัวแปรต่าง ๆ ได้เอง
ซึ่งการใช้ดริปเปอร์ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเนื่องจากมีราคาถูก หาซื้อได้ไม่ยากจนเกินไป และให้รสชาติกาแฟ
ที่ค่อนข้างชัดเจน เราทำอะไรลงไป ปรับขนาดบดเล็กหรือใหญ่ เวลาที่ใช้ อุณหภูมิน้ำที่มีผลต่อกาแฟ
ลองทำบ่อย ๆ ครับ อย่ากลัวที่จะต้องกินกาแฟเองสองแก้ว เพื่อหาความแตกต่าง อย่ากลัวเปลือง เพราะมันคือค่าเรียนรู้ที่เราหาได้เอง ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน หากใครอยากแลกเปลี่ยน หรือพูดคุยกัน ก็ทำได้เช่นเคยครับ สำหรับใครที่คิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ อยากแชร์ให้เพื่อนอ่าน ผมก็รู้สึกยินดีมากครับ
และอย่าลืมกดไลก์ เพื่อเป็นกำลังใจ(ที่สำคัญมากๆๆๆๆๆ) ในการทำบทความต่อไปให้ผมด้วยนะครับ
สวัสดีครับ
Post a Comment