Hipster ควรอ่าน 19 วิธีเจ๋ง ๆ ในการสกัดกาแฟจากทั่วทุกมุมโลก
กาแฟ คือหนึ่งใครเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งจากเชื้อชาติ สายพันธุ์ รส หรือกลิ่นหอม ๆ ของตัวมันเอง ทุก ๆ สิ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ได้กาแฟหนึ่งแก้ว หนึ่งสิ่งที่สำคัญ และสร้างความแตกต่างที่มหาศาลก็คือ การเลือกวิธีการสกัดกาแฟนั่นเอง ซึ่งมีมากมายหลากหลายวิธี ไม่ได้มีแค่กาแฟดริป เอสเพรสโซ หรือกาแฟไนโตร ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในบ้านเราแต่จะมีอะไรบ้างนั้น
เหล่าฮิปส์เตอร์ทั้งหลาย จงมาเรียนรู้วิธีการชงกาแฟที่ต่างออกไปจากเดิมกันเถอะ
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบทางเคมี ทั้งสารให้ความขม คาเฟอีน และองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย แต่การจะสกัดสิ่งเหล่านั้นให้มาผสมรวมตัวอยู่ในน้ำกาแฟ ก็มีหลากหลายวิธีเช่นกัน เริ่มต้นจาก
สกัดด้วยแรงดันอากาศ
ถ้าพูดถึงเรื่องแรงดัน ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่า เอสเพรสโซ คือกาแฟที่สกัดด้วยแรงดัน แทบจะทันทีที่พูดถึง แต่อย่างไรก็ตาม กาแฟที่ใช้แรงดันสกัด ไม่ได้มีแค่เอสเพรสโซเท่านั้น กาแฟที่สกัดด้วยแรงดันอากาศ จะทำให้ได้กาแฟที่เข้มข้น(เมื่อเทียบกับวิธีอื่น) และใช้เวลาในการสกัดน้อย ลองมาดูกันว่ามีวิธีการสกัดแบบไหนบ้างที่ใช้แรงดัน ดันสารในกาแฟออกมาให้เราได้ดื่มกัน
1.Espresso Machine
เครื่องเอสเพรสโซของเรานี่เอง

ตั้งแต่เราเริ่มรู้จักกาแฟมา เครื่องเอสเพรสโซนี่แหละ ที่ทำให้เรามีคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายตั้งแต่ปี ค.ศ.1901
ทุกวันนี้ เครื่องเอสเพรสโซมีหลายรูป และหลายขนาด และเต็มไปด้วยฟังก์ชั่น อีกทั้งยังมีลูกเล่นสารพัด
หากอยากลองซื้อมาใช้ อะไรล่ะ ที่เราควรคาดหวังว่าจะได้จากมัน
อย่างแรก : เวลา
เวลาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงตอนที่สกัดเสร็จแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้จะขึ้นกับชนิดของเครื่อง
ที่เราเลือกใช้ ถ้าหากเป็นระดับเดียวกับร้านกาแฟ เราอาจจะใช้เวลาในการต้มน้ำตั้งแต่ 15-40 นาที แต่หากถ้าเป็นเครื่องแบบที่ใช้ในบ้าน Home Use ทั่วไป จะใช้เวลาเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น (แลกมาด้วยการที่สามารถชงได้ทีละแก้ว หากจะชงเพิ่ม ก็ต้องรอน้ำเดือดใหม่ เพราะหม้อต้มมีขนาดเล็ก แทบจะต้องเติมน้ำทุกครั้ง)
ต่อมา : ขนาดบดของเมล็ดกาแฟ
เอสเพรสโซนั้นต้องการใบมีดบดที่บดได้ละเอียด และสม่ำเสมอ(มาก ๆ) เพื่อทำให้การสกัดกาแฟออกมาเท่ากัน ไม่โอเวอร์ หรืออันเดอร์เอ็กแทรกต์ ดังนั้น เครื่องเอสเพรสโซที่ดี ควรเลือกปรับขนาดได้ตั้งแต่ละเอียดมาก ไปจนถึงค่อนข้างหยาบ เพื่อให้เราสามารถออกแบบรสชาติที่ต้องการได้ เพราะถ้าหากเครื่องบด บดมาได้ละเอียดเกินไป แต่เราปรับอะไรไม่ได้มาก ก็จะกลายเป็นว่าเครื่อง ๆ นั้น ทำได้แต่กาแฟขม ๆ ที่สกัดออกมามากเกินไป
เรื่องที่สาม : น้ำกาแฟที่ได้
ช็อตกาแฟที่ได้นั้น ถ้าเราทำอย่างถูกต้อง จะเข้มข้น และเต็มไปด้วยรสชาติของกาแฟตัวนั้น ๆ แต่ ไม่ขมเกินไป
สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงเช่นกันคือ : ความต้องการทักษะ
เครื่องเอสเพรสโซนั่นมีหลายแบบ แต่ละแบบ แต่ละรุ่น ก็มีฟังก์ชันการใช้งานที่ต่างกันออกไป ใช้ง่ายบ้าง ยากบ้าง เครื่องบางรุ่นทำกาแฟที่ดีได้ โดยแทบไม่ต้องทำอะไร ทุกอย่างแทบจะอัตโนมัต ในขณะที่รุ่นอื่น ๆ ต้องใช้ทักษะในการสกัดกาแฟที่สูง (เช่นแทมป์กาแฟให้ดียังไง ใช้ความร้อนเท่าไหร่ สกัดนานแค่ไหน เปอร์เซ็นต์การสกัดเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่บาริสต้าต้องรู้)
แต่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือเครื่องเอสเพรสโซเครื่องนั้น ให้รสชาติที่คุณชอบได้หรือไม่
ไม่ว่าคุณจะชอบกาแฟใส่นม หรือขม ๆ แบบสายโหด ซดเอสเพรสโซช็อต เครื่องที่ดี คือเครื่องที่ตอบสนองความต้องการของคุณ ได้อย่างครบถ้วน
ยังไงก็ตาม ถ้าหากคุณชอบกาแฟที่ดื่มง่าย รสชาติบาง ๆ หรือไม่ต้องการที่จะเสียเงินแพง ๆ ซื้อเครื่องทำกาแฟ หรือแม้แต่ไม่มีที่ว่างจะวางเครื่อง หรือไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตัวเอง เครื่องทำเอสเพรสโซ ก็คงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับคุณ
สรุปข้อดี/ข้อเสีย
ข้อดี
- สกัดกาแฟรวดเร็ว
- มีราคาตั้งแต่ถูกถึงแพงมากมหาโหด
- สกัดกาแฟได้เข้มข้นที่สุด คาเฟอีนมาเต็ม
ข้อเสีย
- เครื่องที่ราคาถูก มักสกัดกาแฟได้ไม่ดีเท่าไหร่ อาจทั้งความร้อนไม่พอ หม้อต้มเล็กไป แรงดันน้อยไป
- กินพื้นที่มาก
- ต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ และต้องคอยดูแลรักษามาก ทั้งหน้าตาภายนอก และระบบภายใน
ถ้าคุณชอบเครื่องเอสเพรสโซ เลือกเครื่องที่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้ายังชั่งใจอยู่ งั้นมาลองดูตัวต่อไปกัน
2.Moka Pot

หม้อม็อกก้า คงเคยเห็นกันมาบ้างแล้วในร้านกาแฟแมนนวลนั้นหลาย สำหรับใครที่ไม่อยากเสียเงินหลักพันถึงหลักแสน ไปกับเครื่องเอสเพรสโซ่ แต่ก็ยังอยากได้กาแฟเอสเพรสโซ ที่เข้มข้นอยู่ล่ะก็ หม้อม็อกก้าอาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
สิ่งที่ทำให้หม้อม็อกก้า รังสรรค์ช็อตเอสเพรสโซ ให้เราได้ลิ้มรสกันก็คือ กระบวนการที่เริ่มต้นด้วย การต้มน้ำให้เดือดภายในหม้อด้านล่าง จากนั้นความร้อนของน้ำจะก่อเกิดเป็นไอ แต่เมื่อไอไปไหนไม่ได้ ไอน้ำเหล่านั้นจึงดันน้ำร้อนด้านล่างให้ขึ้นมาด้วย ผ่านผงกาแฟบดละเอียด ขึ้นมายังกาน้ำด้านบน
ความแตกต่างของหม้อม้อกก้า กับเครื่องเอสเพรสโซคือ หม้อม็อกก้านั้นมีความดันเพียง 1 bar เท่านั้น
ในขณะที่เครื่องเอสเพรสโซ ให้แรงดัน(โดยเฉลี่ย) อยู่ที่ 9 bar (สำหรับเรื่องความดันกับการสกัดกาแฟ ต่างกันอย่างไร เตรียมพบกับบทความได้ในเร็ว ๆ นี้นะครับ)
แล้วรสชาติที่ออกมาจะเหมือนกันกับเครื่องเอสเพรสโซมั้ย?
อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณไปถามใคร ถ้าถามเซียนกาแฟ โอเค เขาอาจจะแยกความแตกต่างได้ แล้วบอกว่าต่าง
แต่ถ้าถามคนที่กินกาแฟที่ต้องการความอร่อย และความพอใจของตัวเองเป็นที่ตั้ง หรือแม้กระทั่วตัวคุณเอง
คุณอาจไม่จำเป็นต้องสังเกตทุกความแตกต่างที่ละเอียดมาก ๆ ขนาดนั้น แล้วก็มีความสุขกับกาแฟแก้วโปรด ฝีมือตัวเองได้ โดยไม่ต้องโฟกัสที่ความต่างเพียงเล็กน้อยนั้นเลย
สิ่งที่คาดหวัง
1.เวลาในการสกัด :
ไวมาก คุณแค่ต้มน้ำให้เดือด แล้วเทน้ำร้อนใส่หม้อด้านล่าง (ระวังร้อน) แล้วใส่กาแฟบดวางลงไป จากนั้นเอาไปวางบนเตาอีกที (จะเร็วกว่ามากถ้าใช้หม้อม็อกก้าแบบสแตนเลส และใช้เตาแม่เหล็กไฟฟ้า) เพียงไม่ถึงนาที คาเฟอีนแก้วเล็ก ๆ นี้ ก็พร้อมที่จะทำให้เริ่มต้นเช้าวันใหม่ได้ไม่ยาก
Tips : เหตุผลที่ต้องใส่น้ำร้อน ไม่ใช่น้ำธรรมดา เพราะเราต้องการหลีกเลี่ยง ไม่ให้กาแฟสัมผัสกับความร้อนนานเกินไป ยิ่งนาน กาแฟยิ่งไหม้จนขม
2.ขนาดบดที่ต้องการ
ขนาดบดสำหรับหม้อม้อกก้า แตกต่างจากเอสเพรสโซ ถึงแม้ว่าหลักการมันจะดูคล้าย ๆ กันก็ตาม
แต่แท้ที่จริงแล้ว กาแฟที่ใช้หม้อม็อกก้านั้น ต้องการขนาดบดที่หยาบกว่าเอสเพรสโซ แต่ละเอียดกว่ากาแฟดริป ซึ่งมันก็ค่อนข้างตอบยากนิดนึงว่าต้องใหญ่หยาบขนาดไหน ถึงจะพอดี วิธีที่ง่ายที่สุดคือ คุณต้องลองบดให้หยาบ ๆ ไว้ก่อน แล้วลองชิม จากนั้นค่อย ๆ ลดขนาดบดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้รสชาติที่ชอบ
และไม่จำเป็นต้องกดกาแฟให้แน่น เพราะความดันภายในหม้อม็อกก้านั้นน้อยกว่ามาก
หากกาแฟแน่นเกินไป น้ำจะไม่สามารถผ่านขึ้นมาได้
3.หลักการง่าย ๆ ในการสกัดกาแฟ
หากคุณสกัดกาแฟจางเกินไป(watery) กาแฟมีรสเปรี้ยว แสดงว่าขนาดบดหยาบเกินไป
ตรงกันข้าม หากกาแฟขมเกินไป แปลว่าบดละเอียดไป ก็ให้ลองปรับเฟืองบดให้หยาบขึ้นอีกนิด
4.กาแฟที่สกัดเสร็จ
หม้อม็อกก้าสามารถทำกาแฟที่ใกล้เคียงกับเอสเพรสโซได้ แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว ด้วยความที่แรงดันน้อยกว่า เครมาที่ได้ก็หยาบกว่า และรสชาติที่ได้ จะออกไปทางแหลม ๆ และเข้มข้น
5.ทักษะที่ต้องการ
หม้อม็อกก้าไม่ต้องการทักษะที่มากมายอะไร เมื่อคุณหาขนาดบดที่ใช่(ซึ่งเป็นส่วนที่ยากที่สุด) ทุก ๆ อย่างก็จะง่ายไปเอง แค่เพียงเติมน้ำ ตั้งไฟ และก็เฝ้ามองพรายฟองไหลออกมาจากปล่องเล็ก ๆ ตรงกลาง
6.เหมาะกับคุณถ้าหาก
คุณมีงบจำกัด อยากได้อะไรที่พกพาสะดวก พกไปได้ทุกที่ รสชาติเข้มข้น
7.ไม่เหมาะสำหรับ
คนที่ชอบช็อตเอสเพรสโซ ที่มาจากเครื่องเท่านั้น เพราะกาแฟที่ได้จากม็อกก้า จะเข้มกว่า สาก ๆ กว่า
ถ้าไม่ใช่แนวตัวเองแล้ว ลองมองหาวิธีอื่นต่อไป
(แต่ส่วนตัวผมเอากระดาษกรอง ไปวางขั้นตะแกรงกรองของหม้อม็อกก้า จะให้กาแฟที่เข้ม แต่ไม่สาก แล้วดื่มเลย หรือเติมน้ำร้อนเพิ่มเป็นอเมริกาโนไป)
ข้อดี
- ถูกมาก หม้อม็อกก้ามีตั้งแต่ราคาหลักร้อย ไปจนถึงหลักพัน หาซื้อได้ง่าย
- ทำง่าย ใช้ง่าย ล้างง่าย
- พกพาไปไหนก็ได้ ไม่แตกหัก แค่มีเตาแก๊สอันเล็ก ๆ สักอัน หม้อม็อกก้าใบนึง ก็พร้อมเสิร์ฟกาแฟได้ทุกที่
ข้อเสีย
- บางคนบอกว่ารสชาติที่ได้ อย่างกับเอสเพรสโซช็อต ที่ทำเมื่อ 15 ปีที่แล้ว (ก็เวอร์ไป๊)
- โอกาสที่จะเกิดโอเวอร์/อันเดอร์เอ็กแทร็ก ง่ายมาก ขึ้นอยู่กับขนาดบดล้วน ๆ หากละเอียดไป กาแฟเจอความร้อนนาน ก็จะมีรสขมไหม้
3.Aeropress

แอโรเพรส ดูผ่าน ๆ แล้ว นี่น่าจะเป็นอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ มากกว่า อุปกรณ์สกัดกาแฟ
แต่ถ้าถามเรื่องความเจ๋งของมันแล้วล่ะก็ นี่คือสิ่งที่ดีงามพระรามแปด คู่ควรกับการทำกาแฟมากที่สุด
โคตรง่าย! คือนิยามของแอโรเพรส น้ำที่อุณหภูมิพอเหมาะ ระดับความดันที่พอดี(ขึ้นกับปริมาณน้ำที่ใช้ น้ำมาก ความดันมาก) และขนาดบดที่ทำให้เกิดรสชาติสุดกลมกล่อม การสกัดที่ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งนาที (จริงจัง! มันคือหนึ่งในวิธีสกัดกาแฟที่เร็วที่สุดแล้ว)
สิ่งที่คาดหวัง
เวลา :
ถ้าคุณเป็นพวกที่รีบทำรีบกิน เสร็จแล้วไปทำงานต่อ คงต้องยกเรื่องความไวในการสกัดกาแฟ ให้เจ้าแอโรเพรสนี่เลย เพราะมันต้องการเวลาแค่ 1 นาที ในการสกัดกาแฟ (ไม่รวมเวลาต้มน้ำ สมมติว่าออฟฟิศคุณมีน้ำร้อนพร้อมอยู่แล้ว) และนอกจากนั้น เรื่องการทำความสะอาดก็ง่ายสุด ๆ แค่คุณดันก้านกดออกไปให้สุด ก้อนกากกาแฟ ก็หลุดออกไปหมดจด แทบไม่ต้องล้างอะไรเลย
(แต่ล้างหน่อยก็ดีนะ)
ขนาดบด :
ความเจ๋งมันอยู่ตรงนี้ เพราะคุณไม่ต้องมากังวลเรื่องขนาดบดเหมือนหม้อม็อกก้า ที่หยาบไปก็เปรี้ยว ละเอียดไปก็ขม สำหรับแอโรเพรสแล้ว ขนาดบดที่ต้องการ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคุณล้วน ๆ
น้ำกาแฟ :
สีสวย รสชาติดี ถ้าให้อธิบายด้วย 4 พยางค์ คงต้องบอกว่า นุ่ม เข้มข้น บริสุทธิ์ รวดเร็ว
ทักษะที่ต้องการ :
แค่เจ้าเหมียวก็ใช้เป็น 55 ใช่! มันง่ายขนาดนั้นแหละ (แต่ถ้าใครสายเทคนิค ก็ไม่ต้องกังวลไป มันปรับเปลี่ยนตัวแปรต่าง ๆ ได้เยอะมาก) แต่อย่าขี้เกียจไป เมื่อคุณสกัดด้วยวิธีทั่วไปได้แล้ว ลองหาวิธีใหม่ ๆ ปรับนู่นปรับนี่เล่นดู บอกเลยว่าแตกต่างอย่างชัดเจน
เหมาะกับใคร :
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเดินทาง ไปเข้าป่า ตั้งแคมป์ ดื่มกาแฟที่ยอดเขาชิล ๆ หรือแค่เป็นคนที่
อยากได้กาแฟแบบเร็ว ๆ รสชาติดี ทำความสะอาดง่าย แอโรเพรสนี่แหละ คือคำตอบของทุกอย่าง
ไม่เหมากับใคร : มันก็อาจจะลำเอียงหน่อย ๆ ถ้าจะบอกว่ามันเหมาะกับทุกคน แม้ว่าคุณอาจจะไม่ชอบกาแฟที่ผ่านกระดาษกรอง อยากได้ความหอมของน้ำมันในเมล็ดกาแฟ มันก็ยังมีฟิลเตอร์ที่เป็นสแตนเลส ที่ยอมให้น้ำมันลอดออกมาได้อยู่ดี อีกอย่าง ราคาแอโรเพรส อยู่ที่ประมาณ 1200-1400 บาทเท่านั้น ทุกคนควรมีติดบ้านไว้อย่างน้อยหนึ่งอัน เชื่อผมมม
ข้อดี
- พกพาสะดวกมาก ไม่มีชิ้นส่วนไหนที่แตกหักได้ ทุกอย่างเป็น BPA-free plastic ปลอดภัยต่อการบริโภค
- เล่นท่ายากได้เยอะมาก มีหลายวิธีมากในการใช้แอโรเพรส สกัดกาแฟ
- กาแฟอร่อย สดชื่น
ข้อเสีย
- ต้องใช้กระดาษกรอง ถ้าคุณไม่ชอบอะไรที่ใช้แล้วหมดไป (แต่ก็อย่างที่บอก ฟิล์เตอร์สแตนเลสก็มีนะ ประหยัดด้วย)
- คุณทำกาแฟได้อย่างมาก ก็ครั้งละ 2 แก้วเท่านั้น ถ้าคุณทำให้คนเยอะ ๆ ดื่มละก็ คงเป็นอะไรที่น่าเบื่อนิดนึง
เราได้รู้จักกับวิธีการสกัดกาแฟด้วยความดันไปแล้ว บทความหน้า เราจะใช้อะไรมาทำอีก
ติดตามได้เร็ว ๆ นี้
หากบทความนี้เป็นประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ (เอ้ยย ไม่ใช่) หรือมีข้อติชมตรงไหน เขียนแล้วงงหรือเปล่า หรืออยากแบ่งปันประสบการ์ของตัวเอง เกี่ยวกับวิธีต่าง ๆ เทคนิคจะเบสิคหรือแอดวานซ์ คอมเมนต์บอกกันได้นะครับผม แล้วพบกันครับ
Post a Comment