มาดูวิธีสกัดกาแฟแบบต่าง ๆ จากทั่วโลก ตอนที่ 2
ครั้งที่แล้ว เราได้พูดถึงการสกัดกาแฟที่ใช้แรงดันไปแล้ว ซึ่งเป็นวิธีการที่ทุกคนคงคุ้นเคยกันมาบ้าง แต่ในวันนี้เราจะมาร่วมค้นไปให้กว้างขึ้น เพราะโลกของกาแฟนั้นยิ่งใหญ่ ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีการสกัดกาแฟต่อไปนี้ เรียกว่า
Brewing via Steeping
หรือการสกัดด้วยวิธีการแช่นั่นเอง
Steepping คือชื่อเรียกอีกอย่างนึงของคำว่า immersion พูดง่าย ๆ ว่าอะไรที่จมอยู่ใต้น้ำ จะคนหรือสิ่งของก็เรียกว่า immersion หากใครที่ชอบทำอาหาร ก็น่าจะคุ้น ๆ กับคำว่า immersion cooker
ถ้าพูดกันตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม (ทั้งที่ก็อ้อมมาจนค่าแท็กซี่ปาไปหลายร้อยแล้ว) ก็คือการทำ sous-vide นั่นเอง
กลับมาที่กาแฟกันต่อ
การแช่กาแฟในน้ำร้อน เป็นวิธีการสกัดกาแฟ ที่มีมานานมาก ๆ แล้ว หลักการก็ไม่มีอะไรมาก แค่คุณเทกาแฟบด เติมน้ำร้อน และปล่อยใจไปตามสายลม ปล่อยให้ความร้อนทำงานของมันไป จากนั้นก็ดื่มกาแฟ และทิ้งกากกาแฟไป
ฟังดูง่ายใช่มั้ยครับ อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น?
ความยากมันอยู่ตรงวิธีการสตีฟนี่แหละ เราจะแช่มันนานแค่ไหน ทำยังไงถึงจะได้รสที่ชอบ
เส้นบาง ๆ ระหว่าง Over/Under Steepping ถ้าเราแช่มันไม่นานพอ กาแฟที่ได้ก็จะอ่อนเกินไป จนบางทีจืดเหมือนน้ำเปล่า หรือหากทิ้งไว้นานเกิน ก็ขมจนกินไม่ได้
โชคดีที่เทคนิคการ Steep ไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์อะไรมาก ถ้าทำได้แล้ว กาแฟแก้วโปรดของคุณจะเป็นกาแฟที่ไม่เหมือนใคร
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในกาแฟ ที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เจอในกาแฟ
การสกัดกาแฟด้วยวิธีนี้ หลายคนก็น่าจะคุ้ยเคยกันดี กับวิธีต่อไปนี้
4.French Press

จะว่าไปแล้ว French Press ก็คล้าย ๆ จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของการทำกาแฟกินเองที่บ้านไปแล้ว
เนื่องจากมันมีมานานมากก ก่อนปู่ย่าตายายเราจะเกิดซะอีก เปรียบเหมือนวัฒนธรรมของเหล่าโฮมบรูว ที่ต้องมีติดบ้านไว้ซักอัน
ด้วยความที่มันราคาถูก ใช้ง่าย แล้วก็ทำให้กาแฟมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนการสกัดด้วยวิธีอื่น ๆ
Tips: รู้มั้ยว่า คุณสามารถทำกาแฟสกัดเย็น(Cold Brew) ด้วยเฟรนช์เพรส ได้ด้วยนะ
สิ่งที่คาดหวัง
เวลาในการสกัดกาแฟ :
แน่นอนว่าการสกัดกาแฟด้วยวิธีการแช่ผงกาแฟลงไปในน้ำร้อน ไม่ใช่อะไรที่สามารถทำได้รวดเร็วแน่ ๆ
เฟรนช์เพรส เลยเป็นอะไรที่ช้า แต่ก็ไม่ช้ามากเกินไป ถ้านับจากต้มน้ำ จนถึงวินาทีที่เรากดก้านกรองลงไป
เวลาที่ใช้ก็ประมาณ 10 นาที (ผมคิดว่า ถ้าคุณไม่รีบร้อนไปไหน อยู่บ้านดื่มกาแฟชิว ๆ เวลา 10 นาทีก็ไม่นานไปนะครับ อีกอย่าง หากเราปล่อยให้กาแฟเย็นลง รสชาติที่แท้จริงของกาแฟ จะยิ่งเด่นชัดขึ้นอีกด้วย โดยส่วนตัวแล้วผมรอกาแฟเย็นลงก่อนทุกครั้ง เพื่อดื่มง่าย และรสชาติที่ดีขึ้น)
ขนาดบด :
เนื่องจากเฟรนช์เพรส ใช้เวลาในการสกัดกาแฟค่อนข้างนาน หากคุณบดกาแฟละเอียดเกินไป รับรองได้เลยว่า กาแฟออกมาขมชัวร์ ๆ ถ้าพูดให้ดูเนิร์ดนิด ๆ ก็เพราะแต่ละเกล็ดของกาแฟมีพื้นที่ผิวมาก(เพราะมีขนาดเล็ก)
ลองนึกถึงน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ กับน้ำแข็งป่น แน่นอนว่าน้ำแข็งป่น ก็ต้องละลายหมดก่อน
ดังนั้น กาแฟก็เหมือนน้ำแข็งป่น ยิ่งก่อนเล็ก สารต่าง ๆ ในกาแฟยิ่งละลายออกมาได้มาก มากเกินกว่าที่จะให้รสชาติที่ดีได้ เฟรนช์เพรส จึงต้องการกาแฟบดหยาบ และหยาบมากกว่ากาแฟดริป
น้ำกาแฟที่ได้ : มีเอกลักษณ์ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ให้คาแรกเตอร์ของกาแฟชัดเจน ดีบอกดี ไม่ดีก็รู้กันตรงนี้เลย
แต่แย่หน่อยตรงที่ มันจะมีตะกอนตกอยู่ก้นแก้วเสมอ ๆ หากเผลอกลืนเข้าไป ก็อาจพาให้ไม่ชอบเฟรนช์เพรสอีกเลยก็เป็นได้ (ผมเองก็ไม่ชอบ 55)
ทักษะของผู้ใช้ :
การสกัดกาแฟโดยเฟรนช์เพรสเป็นเรื่องง่าย แต่การทำให้กาแฟออกมาเพอร์เฟคต่างหากที่ยาก
หากคุณค่อย ๆ ฝึกทำเป็นประจำ ลองหาเทคนิคของตัวเองให้เจอ เฟรนช์เพรสก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
เหมาะกับใคร :
ถ้าคุณชอบกาแฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือมีเพื่อน ๆ ที่รักการดื่มกาแฟ มาหาที่บ้านบ่อย ๆ ก็ใช่เลย
ไม่เหมากับ :
นักท่องเที่ยว ที่เดินทางบ่อย ๆ เฟรนช์เพรสส่วนมากทำจากแก้ว อาจแตกได้ง่าย แต่ถ้าไม่แคร์เรื่องความสวยงาม ปัจจุบันก็มีเฟรนเพรสที่ทำจากสแตนเลสเช่นกัน
ข้อดี
รสชาติแตกต่าง และมีเอกลักษณ์
ใช้งานง่าย
ทำกาแฟได้ทีละหลาย ๆ แก้ว
ข้อเสีย
คุณอาจไม่ชอบรสชาติมันได้ง่ายๆเลย หรือไม่ก็รำคาญตะกอนที่ตกอยู่ก้นแก้ว
การแช่กาแฟให้ได้รสชาติที่ดีเป็นเพอร์เฟคคัปค่อนข้างยาก คุณต้องลอง และลอง และลองทำไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันทำพลาดได้ง่ายมาก ปัจจัย ตัวแปรต่าง ๆ คุมได้ยาก
5.The SoftBrew


ในปี 2010 SoftBrew ได้ถูกให้คำจัดกัดความว่า เก่าแต่ไฮเทค ถึงจะไม่ค่อยรู้ว่ามันแปลว่าอะไร
แต่ถ้าให้อธิบายด้วยคำง่าย ๆ มันก็คล้ายเฟรนช์เพรส แต่ใช้งานได้ง่ายกว่า เพราะแค่เราวางตัวกรองลงไป ใส่กาแฟ เติมน้ำ และรอ 4-8นาที ก็เรียบร้อย เหมือนกาสำหรับชงชายังไงยังงั้น
ทีเด็ดของมันอยู่ที่ฟิลเตอร์สแตนเลสตรงกลาง ที่มีรูขนาดเล็ก ๆ กระจายอยู่อย่างนับไม่ถ้วน เล็กซะ จนไม่ว่าคุณจะเอากาแฟบดหยาบ บดละเอียดมาใส่ ก็ไม่มีปัญหา
สิ่งที่คาดหวัง
เวลาที่ใช้ :
ถ้าน้ำร้อนพร้อมอยู่แล้ว ก็จะใช้เวลาประมาณ 4-8 นาที เห็นได้ว่าค่อนข้างใกล้เคียงกับเฟรนช์เพรสเลยนะครับ
ขนาดบด :
อย่างที่บอกไว้ด้านบนว่า เรื่องขนาดบดนี่คือความเจ๋งของมันเลย ขนาดไหนก็ได้ แต่รสชาติก็ขึ้นกับเวลาที่เราแช่กาแฟไว้นะครับ ยิ่งนาน ยิ่งสกัดออกมามาก บดหยาบก็นานหน่อย บดละเอียดก็แป๊ปเดียว
กาแฟที่ได้ :
ไม่ต่างกับเฟรนช์เพรสเท่าไหร่ จุดประสงค์ของฟิลเตอร์พิเศษ ที่อยู่ตรงกลางก็เพื่อให้ผงกาแฟที่ขนาดเล็กกว่า 150 ไมครอนผ่านไปได้ ซึ่งจะให้รสชาติที่ที่คล้ายกับเฟรนช์เพรส แต่รู้สึกคลีนมากกว่า
ทักษะของผู้ใช้ :
ไม่ต้องมีทักษะอะไรเลย ใคร ๆ ก็ทำได้ ตักกาแฟใส่ เทน้ำร้อนตาม จบ
เหมากับใคร :
ถ้าคุณไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวาย ของการทำกาแฟพิเศษ ที่ต้องมีอุปกรณ์นี่นั่นเยอะไปหมด และชอบที่ความง่ายในการใช้งานของมัน และรสชาติก็ยังดีกว่ากาแฟสำเร็จรูปทั่วไป ก็กำเงินไปช้อปได้เลย
ไม่เหมาะกับ :
คนที่ชอบลองเล่นกับวิธีการชงแบบต่าง ๆ ปรับนู่นปรับนี่ ชอบหาเทคนิคใหม่ ๆ มาลองทำดู (และเป็นฮิปส์เตอร์ตัวจริง) นี่อาจไม่ใช่ทาง
ข้อดี
ใช้ง่ายมากกกกก
มีหลายขนาดให้เลือก
ข้อเสีย
ทำจากเซรามิก แตกได้ง่ายแน่นอน ไม่เหมาะสำหรับพกไปไหนมาไหน
6.The Coffee Bag

แทแดมมม กาแฟสำเร็จรูป
ใครจะนึกว่าแบบนี้ก็นับด้วยหรออ ใช่ เรานับ 55
กาแฟแบบนี้ไม่ใช่กาแฟสำเร็จรูปแบบ Instant coffee ซะทีเดียว เพราะมันเป็นการเอาเมล็ดกาแฟจริง ๆ นี่แหละ มาบดละเอียด แล้วใส่กระดาษกรองไว้พร้อมสรรพ คุณแค่เติมน้ำร้อน แล้วก็โยนถุงกาแฟลงไป
แต่อย่าไปคาดหวังรสชาติอะไรมาก เพราะเมื่อกาแฟถูกบดทิ้งไว้นานขนาดนี้ ต่อให้อยู่ในถุงซีลอย่างดี ก็เสียรสชาติความอร่อยไปแน่ ๆ ถ้าคุณเป็นนักเดินทาง คุณอาจทำถุงกาแฟแบบง่าย ๆ ใช้เองก็ได้
ไม่ต้องซื้อให้เปลืองเงิน
เวลาที่ใช้ :
กาแฟแบบนี้คุณแทบไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องบด ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมาก น้ำเดือดปุ๊ป โยนกาแฟลงไป
รอแค่ 3-4 นาที ก็พร้อมดื่มทันที
ขนาดบด :
ถ้าคุณซื้อแบบสำเร็จรูป เค้าก็บดมาให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทำอะไร แต่หากว่าอยากทำเอง จากกระดาษกรอง
ขนาดบดที่เหมาะสมคือละเอียดปานกลาง (medium fine)
กาแฟที่ได้ :
อย่างน้อยก็ดีกว่ากาแฟซองล่ะนะ
ทักษะ :
ถ้าคุณชงชาเป็น นั่นแหละ เหมือนกันเลย
เหมาะกับใคร :
เหมาะกับคนที่ไม่อยากกินกาแฟซอง แต่ก็ยังต้องการคาเฟอีนในสายเลือด หรือแก้ง่วงตอนทำงาน
(แต่จะแก้ได้มั้ย อีกเรื่องนะนะครับ แฮ่! ส่วนตัวผมกินแล้วหลับอยู่ดี)
ไม่เหมาะกับ :
คนที่ชอบทำกาแฟด้วยตัวเอง หลงรักในกระบวนการต่าง ๆ ชอบเสียงบดกาแฟจากที่มดมือ ชอบกลิ่นหอมของเกล็ดกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ ๆ ความคลาสสิกของระบบแมนนวล
ข้อดี
เป็นการดื่มกาแฟที่ถูกที่สุด ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เยอะ ทุกอย่างจบที่กาแฟ กับน้ำร้อน
พกพาสะดวกที่สุด เบาสุด ไม่คิดมากที่สุด
น้ำร้อนซักแก้วก็เพียงพอ หยิบกาแฟใส่ลงไป รอ 3-4 นาที ก็พร้อมดื่มได้ทันที ง่ายกว่านี้ก็นมเปรี้ยวแล้ว
ข้อเสีย
ลืมเรื่องความสดใหม่ไปได้เลย กาแฟจะดีที่สุดเมื่อบดตอนที่จะทำ นั่นคือสิ่งที่กาแฟสำเร็จรูปที่ไหนก็ให้ไม่ได้
7.The Vaccum Pot

The Vaccum Pot หรือก็คือหม้อไซฟอน นั่นเอง วิธีนี้นอกจากจะดูเท่ ด้วยความที่รูปร่างหน้าตามันเหมือนอุปกรณ์วิทยาศาสตร์แล้ว รสชาติที่ได้ก็ดีไม่แพ้กัน
ไซฟอน คือการรวมตัวของวิธีสกัดกาแฟแบบแช่ และใช้สูญญากาศหลักการของกาลักน้ำ รังสรรค์ให้ได้กาแฟที่รสชาติไม่เป็นรองใคร
ส่วนขั้นตอนการทำของมันก็ไม่ง่ายนัก อันที่จริง มันค่อนข้างยุ่งยาก และใช้ความมุ่งมานะซักนิดนึง
ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่า เราไม่สามารถจะมานั่งทำทุกวันได้ (ยกเว้นว่าว่าง ไม่มีอะไรทำ)
แต่ทุกครั้งที่เพื่อนมาบ้าน แล้วเราหยิบไซฟอนออกมาทำกาแฟแบบเท่ ๆ โชว์ให้เพื่อนรู้ว่าเราอิน เราแอดวานซ์ ก็เป็นอะไรที่เจ๋งดี
สิ่งที่คาดหวัง
เวลาที่ใช้ :
ทำตัวให้ว่างซัก 10 นาที เพราะการมานั่งล้างมันแต่ละครั้งเนี่ย น่าเบื่อมาก ชิ้นส่วนเยอะ ซอกมุมแยะ แถมยังต้องระวังแตกอีก
ขนาดบด :
บดกาแฟให้หยาบปานกลาง เพื่อรสชาติที่ดี ไม่ควรบดละเอียดเกินไป เพราะไซฟอนใช้ทั้งการแช่กาแฟในน้ำร้อน ที่ยังมีไฟลนอยู่ด้านล่างตลอดเวลา
กาแฟที่ได้ :
กาแฟมีความโปร่ง รสชาติครบถ้วน ถ้าทำอย่างถูกวิธี เมื่อน้ำกาแฟหยดแรก หยดลงแก้วของคุณ มันจะเป็นกาแฟที่บริสุทธ์ที่สุดเท่าที่คุณเคยดื่มมา
ทักษะ :
มันค่อนข้างที่จะยุ่งยากนิดนึง คุณต้องทำไปทีละสเต็ป จุดไฟ ใส่น้ำ รอน้ำเดือด ใส่กาแฟ คน ปิดไฟ รอน้ำดูดกลับลงมา แล้วจึงค่อยรินใส่แก้ว แต่ถ้าเป็นสายเนิร์ด หรือเด็กวิทย์อยู่แล้ว นี่ก็เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ง่ายกว่าไทเทรตเยอะ
เหมาะกับใคร :
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบในศิลปะของการสกัดกาแฟมาก ๆ อยากที่จะใช้อุปกรณ์อะไรเท่ ๆ ดิบ ๆ หยิบรองเท้าแล้วออกไปซื้อมาใช้ได้เลย
ไม่เหมาะกับ :
คนที่ต้องการคาเฟอีนแบบปัจจุบันทันด่วน และไม่ยุ่งยาก ไซฟอนไม่มีทางทำให้คุณหลงรักมันได้แน่นอน
ข้อดี
ถ้าทำถูกต้อง ก็จะได้กาแฟที่รสชาติดีทีเดียว เหมือนเอาข้อดีของกาแฟดริป มารวมกับข้อดีของ เฟรนช์เพรส ดริปให้ความใส เฟรนช์เพรสให้รสที่กลมกล่อม
คุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชายด้านกาแฟ ในสายตาเพื่อน ๆ แน่นอน
ข้อเสีย
มันเป็นวิธีที่แอดวานซ์ไปเยอะเลย เพราะฉะนั้น เตรียมตัวรับความพลาดไว้ด้วยนะครับ อร่อย ไม่อร่อย ต้องค่อย ๆ ฝึกกันไป
แตกง่ายมาก อย่าคาดหวังว่าจะพกพาไปไหนด้วยได้
ถ้าคุณต้องการแค่กาแฟแก้วนึง อยากเติมคาเฟอีนให้ร่างกายเฉย ๆ สิ่งนี้จะทำให้คุณปวดหัวแน่นอน
เป็นยังไงกันบ้างครับ สำหรับการสกัดกาแฟประเภทที่สอง คือการสกัดด้วยการแช่กาแฟในน้ำร้อน
ซึ่งแต่ละวิธีก็ง่ายบ้าง ยากบ้าง สลับกันไป สำคัญที่สุดคือคุณชอบแบบไหนมากกว่า
ไม่มีกาแฟแก้วไหนที่ดีที่สุดในโลก มีเพียงกาแฟแก้วที่คุณชอบมากที่สุด อย่าคิดว่าเทสต์บัด(ปุ่มรับรสบนลิ้น)ของตัวเองไม่ดี เพราะคิดว่าไม่เห็นความต่างอะไรเหมือนคนอื่นเลย
กาแฟก็เหมือนหนัง เรตติ้งสูง ไม่ได้แปลว่าดีสำหรับทุกคน
บางทีสิ่งที่คุณต้องการ อาจเป็นกาแฟสำเร็จรูปธรรมดา ๆ แต่มันทำให้คุณใช้ชีวิตได้ราบรื่น มีกำลังกาย กำลังใจทำสิ่งดี ๆ ในแต่ละวัน
เท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับ
สำหรับวันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ แต่วิธีสกัดกาแฟไม่ได้มีเท่านี้ รอติดตามได้ในบทความหน้านะครับ
หากมีข้อผิดพลาดประการใด หรืออยากให้ปรับปรุงอะไร คอมเมนต์มาได้เลยครับผม และอย่าลืมไลก์ หรือแชร์บทความนี้ไปให้เพื่อน ๆ แล้วชวนมาดื่มกาแฟด้วยกันนะครับ กาแฟจะอร่อยขึ้น ถ้ามีเพื่อนซี้
หรือคนรู้ใจที่ชอบกาแฟเหมือนกันดื่มด้วย
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ขอบคุณจากใจจริง ๆ ครับทุกไลก์ คอมเมนต์ คือกำลังใจที่ดีให้ผมทำบทความต่อไป สวัสดีครับ
Post a Comment